หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ

218

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ หรือ พระครูปราสาทพรหมคุณ แห่งสุสานทุ่งมน วัดเพชรบุรี อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ อดีตพระเกจิชื่อดังแห่งดินแดนอีสานใต้ มีนามเดิมว่า “สุวรรณหงษ์ จะมัวดี” เกิดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2461 ที่บ้านทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดอุทุมพร บ้านทุ่งมน จนอายุ 18 ปี มารดาขอร้องให้บวชเณร

เพราะเป็นช่วงวัยรุ่นอารมณ์ร้อนจากความตั้งใจที่จะบวชเพียง 7 วัน เกิดมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เลยอยู่เรื่อยมาจนอายุครบ 20 ปี พระอุปัชฌาย์จึงอุปสมบทให้ ณ วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ มีพระอาจารย์แป้นเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายานาม “พรหมปัญโญ” แปลว่า “ผู้มีปัญญาดุจพรหม” อุปสมบทแล้ว ตั้งใจมั่นขยันหมั่นเพียรศึกษาพระปริยัติธรรม ด้วยเป็นผู้มีความวิริยะสูง จดท่องแม่นยำยิ่งนัก ทั้งฝักใฝ่หาความรู้ เพียรหาครูบาอาจารย์อย่างไม่ลดละแม้จะไกลไปยาก ก็อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไป 

โดยมีพระอาจารย์แป้นเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า”พรหมปัญโญ” แปลว่า “ผู้มีปัญญาดุจพรหม” ในการนี้ การศึกษาพระปริยัติธรรม เป็นความภาคภูมิใจที่หลวงปู่หงส์ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน และยังได้มีความอุตสาหะในการแสวงหาความรู้จากครูบาอาจารย์มากมาย และด้วยความมีวิริยะอุตสาหะนี่เอง หลวงปู่หงส์ได้จดจำภาษาบาลีอย่างแม่นยำจนกระทั่งสามารถสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปี พ.ศ. 2482 และต่อมาในปีพ.ศ. 2483 ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่เพิ่มเติมจนสอบได้ระดับปลายภาคจากวัดศรีลำยอง ตำบลสมุด อำเภอประสาท ต่อมาเมื่อบวชครบ 3 พรรษา

หลวงปู่หงษ์ จึงได้ออกจาริกถือธุดงควัตรตามแบบฉบับแห่งพระบรมครู พักอาศัยอยู่ตามโคนไม้ หาที่สงบสัปปายะ เจริญภาวนาที่ป่าช้าตั้งอต่ช่วงเช้าจนถึงค่ำ ฉันภัตราหารเพียงวันละมื้อก่อนที่จะเลือกเพียรหาในการแสวงหาความรู้สรรพศาสตร์มนตราจากครูบาอาจารย์ในเมืองขุขันธ์ จังหวัดศรีษะเกษ


พ.ศ. 2482 สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักโรงเรียนวัดอุทุมพร พ.ศ. 2483 เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่เพิ่มเติม สอบได้ระดับชั้นปลายภาคจากวัดศรีลำยอง ต.สมุด อุปสมบท 3 พรรษา กราบลาพระอุปัชฌาย์จาริกถือธุดงควัตร อาศัยอยู่ตามโคนไม้ นุ่งห่มใช้ผ้าเพียงสามผืน ถือที่สงบสัปปายะ เช่น ป่าช้าเป็นที่เจริญภาวนาเช้าค่ำ ขบฉันภัตตาหารเพียงมื้อเดียว เดินทางไปสู่เมืองขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ เพราะเป็นเขตแห่งสรรพศาสตร์มนตรา จึงได้เข้าขอศึกษากับครูอาจารย์ที่เป็นทั้งฆราวาสก็ดี เป็นผู้ทรงศีลสมณะก็ตาม จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขออนุญาตลากลับเพื่อจาริกธุดงค์สู่พนมเปญ กัมพูชา

เมื่อธุดงค์เข้าเขตประเทศกัมพูชา พบกับครูบาอาจารย์ศึกษาสรรพวิชา ทั้งคาถาเมตตา มหาเสน่ห์ กำบังภัยทั้งคุ้มครอง แคล้วคลาดกันอาวุธปืน หอก ดาบ เขี้ยว งา ช้างเสือ หุงสีผึ้ง กันยาเบื่อ ทั้งคุณไสย ทำน้ำมนต์รดอาบ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2516 เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเพชรบุรี พ.ศ. 2519 รับตราตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลทุ่งมน พ.ศ. 2525 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2542 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลทุ่งมน

อีกทั้งยังมีเรื่องราวของกลุ่มโจรในประเทศกัมพูชาที่มีวิชาอาคมแก่งกล้าออกปล้นสะดมจนทางการกัมพูชาต้องมาร้องขอให้หลวงปู่หงษ์ช่วยจับกุม จนกระทั่งกลุ่มโจรนี้กว่า 50 คนต่างก็ขอหลวงปู่หงษ์เป็นศิษยานุศิษย์ร่วมเดินรอยตามพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกที่มีทั้งลูกระเบิด ลูกปืนใหญ่ตกใส่ในพื้นที่ที่หลวงปู่หงษ์อยู่กับชาวบ้านในหมู่บ้านกรูกลับไม่ระเบิด
จนทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสและศรัทธากันเป็นจำนวนมาก และยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ. 2523 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูประสาทพรหมคุณ พ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม สร้างคุณูปการให้กับสังคมมากมาย โดยเฉพาะด้านสังคมสงเคราะห์ หลวงปู่หงษ์ บริจาคทรัพย์สร้างสถานีอนามัยและสถานเลี้ยงเด็ก รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือโรงเรียน ปรับปรุงสถานีตำรวจ จัดตั้งมูลนิธิหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ, บริจาคเพื่อขุดแหล่งน้ำ บ่อน้ำ และฝายกั้นน้ำ

ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลวงปู่หงษ์ บริจาคเงินเพื่ออนุรักษ์ป่า ปลูกป่า เสริมสร้างป่าชุมชน บริจาคเงินและตั้งกองทุนเพื่อซื้อและไถ่ชีวิตสัตว์ พ.ศ. 2535 รับโล่รางวัลชนะเลิศด้านสิ่งแวดล้อมดีเด่นจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. 2536 รับรางวัลชนะเลิศวัดพัฒนาตัวอย่าง พ.ศ. 2537 รับรางวัลชนะเลิศด้านบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ แก่พระพุทธศาสนาด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และรับพระราชทานเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ช่วงเช้าวันที่ 5 มีนาคม 2557 มรณภาพ ด้วยวัย 97 ปี พรรษา 77