ประวัติ พระครูภาวนาปัญญาดิลก(หลวงปู่พระมหาเจิม ปญฺญาพโล)วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
สำหรับชาติภูมิหลวงปู่มหาเจิม ชื่อเดิม เจิม วรรณโมฬี เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๕๙ ตรงกับแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ณ บ้านหนองแหน ต.เมืองใหม่ อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา บิดาชื่อ นายหรุ่น วรรณโมฬี มารดาชื่อ นางม้วน วรรณโมฬี มีพี่น้อง ๖ คน ทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว
บรรพชาที่วัดแสนภุมมาวาส กับหลวงพ่อทอง ต่อมาได้ญัตติเป็นธรรมยุต กับเจ้าคุณอุบาลี คุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส กทม. อุปสมบท ณ วัดบรมนิวาส โดยมี พระพรหมมุนี (ติสฺโส อ้วน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพินิจ วิหารการ (ขำ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวินัยธรดำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลวงปู่มหาเจิม เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่เจิมท่านเคร่งครัด ในธรรมวินัย เป็นที่สุด พูดน้อย พูดแต่ความจริง ไม่พูดเล่น เป็นผู้รักสันโดษ ไม่ยินดีในลาภยศ สรรเสริญ ท่านสละ ไม่ยอมรับแม้ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ลูกศิษย์ถามว่า ทำไมหลวงปู่ไม่ไปอยู่ภาคอีสาน จะได้โด่งดังเหมือนกับพระคณาจารย์อื่นๆ ท่านตอบว่า เราไม่อยากดัง มาอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว จะได้ใช้กรรมให้หมดไป
ประวัติที่ 2 ของหลวงปู่
ชีวประวัติหลวงปู่มหาเจิม ปญฺญาพโล
หลวงปู่มหาเจิม นามเดิม เจิม วรรณโมฬี เกิดที่บ้านหนองแหน ต.เมืองใหม่ อ.พนมสารคาม(ปัจจุบันเป็น อ.ราชสาสน์) จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง บิดามีนามว่า นายหรุ่น วรรณโมฬี มารดามีนามว่า นางม้วน วรรณโมฬี มีพี่น้องทั้งหมด ๖ คน เป็นผู้ชาย ๔ คน ผู้หญิง ๒ คน ได้เสียชีวิตแล้วทั้งหมด ๕ คน ที่มีชีวิตอยู่ปัจจุบันเหลือหลวงปู่เพียงองค์เดียว
การศึกษาของหลวงปู่ในวัยเด็กต้องศึกษากับวัดที่อยู่ใกล้บ้าน โดยเรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พออ่านออกเขียนได้เท่านั้น เพราะยังไม่มีโรงเรียนประชาบาลตั้งอยู่ในวัดสมัยนั้น และยังต้องย้ายออกจากบ้าน ห่างจากบิดามารดาและญาติพี่น้องมาอยู่ที่วัดตั้งแต่อายุประมาณ ๘ ขวบ
หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเฌร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ อายุได้ ๑๒ ขวบ กับหลวงพ่อทองซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแสนภุมมาวาส และได้อยู่กับท่าน ๑ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่ได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ และมาอยู่ที่วัดบรมนิวาส ถนนรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยคุณย่าอิ่ม รัดสกุล เป็นผู้นำมาฝากฝังกับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) และได้ญัตติเป็นธรรมยุต กับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อีกด้วย
การศึกษาบาลีและนักธรรม ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่สอบบาลีไวยากรณ์ได้ที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ และ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบได้นักธรรมเอก และหลวงปู่ยังสามารถสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ได้ในปีเดียวกัน
เมื่อหลวงปู่อายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ณ พระอุโบสถวัดบรมนิวาส โดยมีพระพรหมมุนี (ติสฺโส อ้วน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพินิจ วิหารการ (ขำ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวินัยธรดำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ หลวงปู่ได้ออกปฏิบัติ โดยเดินทางขึ้นสู่ภาคเหนือ ได้จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๑ พรรษา
ปี พ.ศ. ๒๔๘๒-พ.ศ. ๒๔๘๗ จำพรรษาที่วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จำพรรษาที่วัดทิพย์วนาราม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้กลับมาจำพรรษาที่ วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อีกครั้ง
ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ลงมาอยู่ภาคกลาง ได้ลงไปจำพรรษาที่อ่าวยาง จ.จันทบุรี เพียงรูปเดียว
ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้ไปจำพรรษาที่อ่าวหมู กับ พระอาจารย์น้อย เกตุโร อยู่ ๑ พรรษา และได้เดินทางลงไปจำพรรษาที่ปักษ์ใต้ โดยได้ไปอยู่กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสีคัมคีร์ปัญญาวิศิษฏ์) ที่จังหวัดภูเก็ต
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ จำพรรษาที่อ่าวลึก จ.กระบี่ กับอาจารย์พรหมมา
ปี พ.ศ. ๒๔๙๖-พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้อยูจำพรรษาที่คลองช่องลม อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ กลับมาจำพรรษาที่วัดแสนภุมมาวาส อันเป็นบ้านเกิด เพื่อเยี่ยมโปรดโยมบิดา โยมมารดา
ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กลับลงไปภาวนาที่ภาคใต้อีกครั้ง โดยจำพรราที่อ่าวลึก จ.กระบี่ ได้ ๑ พรรษา
ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จำพรรษาที่วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย กับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (พระสุธรรมคณาจารย์)
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔-พ.ศ. ๒๕๐๗ จำพรรษาที่วัดเขาแก้ว จ.จันทบุรี
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘-พ.ศ. ๒๕๑๗ จำพรรษาที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี
ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กลับไปวัดเขาช่องลม อ.อ่าวลึก จ.กระบี่อีกครั้ง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙-พ.ศ. ๒๕๓๑ และในระหว่างนั้นหลวงปู่ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกระบี่ และ พังงา
ต่อมาท่านได้มาอยู่ที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซอยจรัลสนิทวงค์ ๓๗ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เพื่อรักษาอาการอาพาธ และมาพักอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (พระครูสุทธิธรรมรังษี) ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
ปี พ.ศ. ๒๕๓๓-ปัจจุบัน หลวงปู่ได้รับอารธนานิมนต์มาเป็นประธานสงฆ์ วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งเดิมมีพื้นที่เป็นป่าช้าเก่า
สหธรรมิกของท่านที่เคยอยู่ร่วมกันมามีมากมายหลายท่านเช่น หลวงปู่เทศน์ เทสก์รังษี ,หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ,หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ,หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ,หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ ,หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ เป็นต้น
หลวงปู่ท่านเป็นพระที่ชอบสันโดษไม่หวังลาภยศใดๆ มีลูกศิษย์มาถามท่านว่าทำไมท่านไม่เทศน์บ้าง ท่านตอบว่าธรรมมีมากมาย พระเทศน์เก่งๆก็มีเยอะ แต่คนเอาธรรมไปใช้มีน้อย มีลูกศิษย์ท่านนึงขอธรรมะจากท่าน ท่านได้ให้ธรรมะสั้นๆ แต่ออกจากใจท่านแท้ๆ ท่านเขียนไว้ว่า “ปล่อยว่าง วางเบา เอาหนัก” ท่านบอกว่าใครทำได้ถึงตรงนี้พ้นทุกข์ได้แน่นอน
หรียญเสมาหยุดกระสุน ประสบการณ์มากมาย พระที่นักลองของไม่กล้าลองยิง..เหรียญเสมา รุ่นแรก หลวงปู่มหาเจิม วัดสระมงคล สภาพสวยเดิม พระดีราคาเบา จัดสร้างใน พศ 2549 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หลวงปู่มหาเจิม ปญฺญาพโล อดีตประธานสงฆ์วัดสระมงคล บ้านหนองโพธิ์ ต.สระสี่มุม อ.กำแพงแสน เป็นเหรียญที่ออกในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ.2549 เนื่องในงานวันเกิดครบ 90 ปี
ดาบธีเล่าว่า พระครูภาวนาปัญญาดิลก หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า หลวงปู่เจิม ปัญญาพโล” เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งของนครปฐม ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระที่เคร่ง ครัดพระธรรมวินัย ใส่ใจปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นยอดพระเกจิแห่งยุคอีกรูปหนึ่ง มีสมาธิจิตใจอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยว สมาธิมั่นคงปัจจุบันอายุ 96 พรรษา 76 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระมงคล อ.กำแพง แสน จ.นครปฐม และมีบลูกศิษย์ของหลวงปู่แผ้วได้ถามกับหลวงปู่แผ้ว ปวโรว่าหลวงปู่มหาเจิมเป็นอย่างไรหลวงปู่แผ้ว ปวโร ตอบมาว่าหลวงปู่มหาเจิมเก่งกว่าฉันเสียอีกหลวงปู่มหาเจิมเป็นพระสายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มหาเจิมท่านได้อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
วัตถุมงคลของท่านได้มีการกล่าวขานว่าเป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ท่านได้ระสังขารแล้วประชุมเพลิงสังขารท่านกายเป็นพระธาตุวัตถุมงคลของท่านมีคนได้นำไปทดลองแล้วคนทดลองเกิดอาเพศมีอันเป็นไปบางคนมีอาการคุ้มคั่งจนไม่มีใครคิดที่จะกล้านำมาลองอีกและผู้ที่นำเอาเกศาของท่านไปก็เกิดความมหัศจรรย์เกิดขึ้นเพราะเกศากลายเป็นพระธาตุอย่าไม่น่าเชื่อส่วนกระดูกของท่านก็กลายเป็นเม็ดแก้วใสๆดูได้จากฟิล์มเอ็กซเรย์ที่หมอถ่ายไว้ประวัติหลวงปู่มหาเจิม ท่านบวชตั้งแต่11ขวบ(บวชเณร)พออายุครบ20ปีก็พรรพชาแล้วได้เดินออกธุดงค์ทั้ง4ภาคทั่วประเทศไทยกับเกจิอาจารย์หลายท่านจากนั้นท่านได้กลับมายังที่วัดสระมงคล ต.สระสี่มุม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม หลวงปู่มหาเจิมได้ละสังขานลงด้วยสิริอายุ95ปี8เดือน11วัน
ดาบธีภาค 7 ยังบอกอีกว่า ตนเองได้ประสบการณ์จากผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเกิดการต่อสู้กันที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่มหาเจิมติดตัวอยู่นั้นร่ายกายก็ไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อยจึงเป็นที่ล่ำลือกันว่าต้องเป็นวัตถุมงคลหลวงปู่มหาเจิมอย่างแน่นอน